หนึ่งในสารอาหารที่มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทสมอง และการมองเห็น อีกทั้งร่างกายยังไม่สามารถผลิตเองได้ นั่นคือ “DHA” สารอาหารที่พบได้มากในปลาชนิดต่าง ๆ และนมกล่องสำหรับเด็กที่ผ่านการตรวจสอบ นอกจากนี้สำหรับเด็กทารกแล้ว ยังสามารถหาได้ง่าย ๆ จากสิ่งใกล้ตัวนั่นก็คือ “น้ำนมแม่”
DHA คืออะไร มาทำความรู้จักกันเถอะ
ดีเอชเอ (DHA หรือ Docosahexaenoic acid) คือ กรดไขมันที่อยู่ในตระกูลของโอเมก้า 9 ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อโครงสร้างพื้นฐานทั้งเซลล์สมอง รวมถึงจอประสาทตา ซึ่งอวัยวะที่กล่าวมานี้ จะมีส่วนประกอบของกรดไขมันหลายชนิด และหนึ่งในกรดไขมันที่มีปริมาณมากที่สุด คือ ดีเอชเอ ซึ่งพบได้ในสมอง 40 % และพบในจอประสาทตามากถึง 60 % มีหน้าที่ช่วยในการส่งเสริมปลายประสาท ซึ่งปลายประสาทมีหน้าที่สำคัญในการช่วยถ่ายทอดสัญญาณของเซลล์สมอง
จึงสามารถกล่าวได้ว่าดีเอชเอ คือ ส่วนสำคัญของการทำงานของระบบประสาท และสมอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเด็กเล็กอายุไม่เกิน 3 ปี เพราะในช่วงนี้หากดูแลเรื่องสารอาหารให้ดี ระบบประสาทและสมองจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นสูงสุดมากถึง 85 %
บทความที่เกี่ยวข้อง : รีวิว 6 นม UHT สำหรับเด็ก ยี่ห้อไหนดี ช่วยให้สารอาหารสมองดีที่สุด
วิดีโอจาก : Interpharma Thailand
ถึงจะสำคัญแต่ร่างกายไม่สามารถสร้างดีเอชเอเองได้
แม้ระบบประสาทและสมอง จะต้องพึ่งดีเอชเอเพื่อให้เกิดการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และสำคัญมากสำหรับเด็กเล็ก แต่รู้หรือไม่ว่าดีเอชเอไม่ใช่กรดไขมันที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติ แล้วทำไมปัญหาสารอาหารชนิดนี้จึงไม่ได้เป็นที่สนใจมากนัก เนื่องจากดีเอชเอถึงแม้ร่างกายจะสร้างไม่ได้ แต่ยังสามารถหาได้จากการทานอาหารที่มีส่วนประกอบของดีเอชเอสูงโดยมากจะพบได้สาหร่ายทะเลบางชนิด และในปลาทะเลน้ำลึก หรือปลาน้ำจืด ตัวอย่างเช่น ปลาช่อน หรือปลาสวาย เป็นต้น
แน่นอนว่าอย่างที่เรารู้กันดีว่าดีเอชเอยังสามารถหาได้จากนมแม่ อาหารมื้อหลักสำหรับทารกแรกเกิด ซึ่งคงไม่มีปัญหาในการหาสารอาหารชนิดนี้ แต่สำหรับเด็กที่หย่านมแม่แล้ว ก็ยังต้องการสารอาหารชนิดนี้เพื่อพัฒนาระบบประสาท และสมองอยู่ ซึ่งสามารถหาได้จากนมกล่องที่มี DHA และมีความเหมาะสม และปลอดภัยสำหรับเด็ก
DHA ในนมแม่เป็นอย่างไร ?
การที่ทารกต้องกินนมแม่เป็นไปตามความจำเป็น และกระบวนการที่ธรรมชาติสร้างมา เพราะในนมแม่จะปริมาณของดีเอชเอเพียงพอต่อความต้องการของทารกตัวน้อย โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรกหลังจากคลอด เป็นช่วงที่สำคัญเนื่องจากอวัยวะต่าง ๆ ของทารกอาจยังไม่แข็งแรง เช่น ระบบย่อยไขมันที่ยังดี หรือระบบประสาท และการมองเห็นที่ยังต้องพัฒนาต่อ ซึ่งในน้ำนมแม่ที่มีดีเอชเอ ล้วนแล้วแต่ช่วยทารกน้อยในพัฒนาการทางด้านร่างกาย และระบบประสาทตามที่กล่าวมาได้ทั้งสิ้น ดังนั้นหากเด็กขาดดีเอชเอจะส่งผลเสียได้หลายอย่าง เช่น
- ส่งผลให้ระดับของ IQ ลดต่ำลงกว่ามาตรฐานได้
- ทำให้เด็กมีการเรียนรู้ทางด้านการอ่าน และการเขียนช้ากว่าเด็กคนอื่น
- ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของระบบสายตา อาจทำให้เกิดภาวะตาบอดตอนกลางคืน
- ทำให้เด็กมีสมาธิสั้น เรียนรู้ได้น้อย และส่งผลต่อการควบคุมพฤติกรรมตนเองได้
นอกจากนี้ปัญหาขาดสารอาหารจำพวกดีเอชเอยังส่งผลเสียต่อคนในวัยอื่น ๆ ได้เช่นกัน หรือถ้าปล่อยให้เด็กรับสารอาหารชนิดนี้ไม่เพียงพอต่อไปในอนาคตอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติทางอารมณ์ หรือเสี่ยงต่อโรคทางสมองและประสาทได้ เช่น มีอาการซึมเศร้า, อารมณ์ไม่มั่นคง มีความเครียด, มีนิสัยก้าวร้าว, เสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อม หรือจอประสาทตาฝ่ออักเสบ เป็นต้น
บทความที่เกี่ยวข้อง : รอบรู้ทุกประโยชน์ของนมแม่ และการเก็บรักษานมเพื่อลูกรัก
3 ประโยชน์ของดีเอชเอที่มากกว่าแค่พัฒนาสมอง และการมองเห็น
การรับประทานอาหารจำพวกปลา หรือนมสำหรับเด็กที่มีส่วนประกอบของดีเอชเอ นอกจากจะพัฒนาระบบประสาทสมอง และการมองเห็นให้สมบูรณ์แล้ว สิ่งเหล่านี้ยังเป็นส่วนสำคัญต่อการป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะส่งผลทั้งในเด็กเล็ก และอาจส่งผลระยะยาวไปจนถึงช่วงสูงอายุได้ด้วย ซึ่งการรับดีเอชเอในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยเรื่องเหล่านี้ ได้แก่
1. ป้องกันโรคสมาธิสั้นในวัยเรียน
ในช่วงวัยเรียนของเด็กเล็กที่ต้องพึ่งการปรับตัวเพื่อการเรียนรู้ในชั้นเรียน ต้องเจอการสอบยิบย่อย ที่ในสายตาของผู้ใหญ่อาจมองว่าเป็นเรื่องที่ง่าย แต่ในสายตาของเด็กอาจมองว่าเป็นเรื่องยาก ที่ต้องพยายามมาก การได้รับดีเอชเอในช่วงนี้จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดีมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงสมาธิสั้น ทำให้ไม่สามารถเรียนรู้ได้ดีพอ หรือมีปัญหากับบุคคลรอบข้างได้ จากสถิติที่พบว่า 40 % ของเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น มีปริมาณดีเอชเอในเลือดต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม
2. ช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ในทุกช่วงวัย
ตั้งแต่เล็กความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งจำเป็น และเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการความคิด ความสามารถ ที่จะต่อยอดและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว หรือเมื่อเด็กโตขึ้นเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น หรือวัยทำงานที่เรียนรู้ และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น จะได้รับแรงกดดันหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน ปัญหาเรื่องของการเงิน, ครอบครัว, การงาน หรือความรัก เป็นต้น ทำให้มีความเครียด หรือมีแนวโน้มที่จะมีอาการซึมเศร้าได้ ความเสี่ยงเหล่านี้จะมากขึ้นหากปริมาณดีเอชเอในสมองต่ำ หากทานดีเอชเอในปริมาณที่ร่างกายต้องการแต่พอดี จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และลดโอกาสเกิดความเครียด หรือส่งผลให้กระบวนการคิดสร้างสรรค์มากขึ้นด้วย
3. ลดโอกาสเกิดโรคสมองเสื่อมในอนาคต
การรับสารอาหารที่มีประโยชน์นี้พัฒนาระบบประสาท และสมองได้โดยตรง มีความสำคัญต่อการสื่อสารในเซลล์สมองมาก หากปล่อยให้เด็กขาดสารอาหารประเภทนี้ แน่นอนว่าในอนาคตคงไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน เพราะความเสี่ยงนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากอายุที่มากขึ้น ทำให้เซลล์สมองเริ่มเสื่อม และถ้าหากดีเอชเอในสมองลดต่ำลงจะยิ่งทำให้มีอาการหลง ๆ ลืม ๆ หนักขึ้นได้ ดังนั้นนอกจากเด็ก ๆ จะต้องทานนมที่มีดีเอชเอแล้ว สำหรับผู้สูงอายุยังต้องดูแลตนเองด้วยการทานอาหารเสริมที่ปลอดภัยด้วย
การรับดีเอชเอในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของเด็กช่วงอายุ 1 – 12 ปี จะอยู่ที่ 20 มิลลิกรัม / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สำหรับวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ขึ้นมาจะต้องการ 300 มิลลิกรัม / วัน และต้องการปริมาณ 500 – 1,000 มิลลิกรัม / วัน ในผู้สูงอายุ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
อาหารเสริมเพิ่มน้ำนม จำเป็นไหม แม่ท้องกินอะไรแล้วช่วยบำรุงน้ำนม ?
รู้หรือไม่ บริจาคน้ำนม คือทางเลือกรองของการให้นมลูกเท่านั้น !
เครื่องปั๊มนม จำเป็นอย่างไร เลือกอย่างไรให้ปลอดภัยต่อคุณแม่?